เหล่าบรรดาประเทศอาเซียนต่างก็ประสบปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ ที่เกิดจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 ในช่วงตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ซึ่งประเทศเพื่อนบ้านของเราอย่างเวียดนาม นั้นถูกยกให้เป็น 1 ในประเทศอาเซียนที่สามารถรับมือกับวิกฤตได้อย่างเข้มแข็ง และมีแววว่าเศรษฐกิจจะกลับมาฟื้นตัวได้เร็วที่สุด ท่ามกลางสถาวะที่ยังไม่มั่นคงของโควิด – 19

.

Edward Teather นักเศรษฐศาสตร์จากธนาคารยักษ์ใหญ่ของโลก USB กล่าวว่า เวียดนามเป็นหนึ่งเดียวในอาเซียน ที่แม้จะได้รับผลกระทบจากความรุนแรงของโรคระบาด แต่ก็ยังคงมีเศรษฐกิจที่ทรงตัวและกำลังสดใส ซึ่งในปีนี้การค้าปลีก การนำเข้า จวบไปจนถึงผลผลิตจากอุตสาหกรรม นั้นต่างมียอดเติบโตสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเดือนมิถุนายน ที่ภาพรวมของประเทศรอบข้างกำลังเผชิญหน้า และแก้ปัญหาอย่างหนักหน่วง เพราะความรุนแรงของโรคระบาด ส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจของแต่ละประเทศภูมิภาค นั้นหดตัวเป็นอย่างมากในไตรมาสที่ 2 ของปี 2563 แตกต่างจากประเทศเวียดนามที่มีผลการผลิตในประเทศสูงกว่า 0.36% ถือเป็นผลลัพธ์ที่ยังน่าพอใจเมื่อเทียบกับวิกฤตเช่นนี้

.

ซึ่งสาเหตุหลักที่ทำให้ประเทศเวียดนามนั้นมีภาพรวมเศรษฐกิจที่ค่อนข้างดีกว่า นั้นอาจเป็นเพราะความสามารถในการควบคุมสถานการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้เวียดนามจะมีพื้นที่ติดกับประเทศจีน ซึ่งเป็นพื้นที่เสี่ยงที่มีผู้ติดเชื้อเกิดขึ้นครั้งแรก แต่จากประชากรทั้งหมด 97 ล้านคน กลับมีผู้ติดเชื้อเพียงแค่ 369 คนเท่านั้น และยังไม่มีการรายงานยอดผู้เสียชีวิตปรากฏออกมา

.

การประสบความสำเร็จในการควบคุมโรคครั้งนี้ ยิ่งตอบย้ำว่าภาพลักษณ์การทำงานของเวียดนามนั้นเป็นที่น่าเชื่อถือและน่าไว้วางใจ ซึ่งส่งผลให้นักลงทุนทั่วโลกต่างให้สนใจที่จะร่วมมือทางเศรษฐกิจกับประเทศเวียดนามมากยิ่งขึ้น โดยเล็งเห็นถึงความสำคัญของการเป็นศูนย์กลางการผลิต แทนการตั้งฐานเดิมในประเทศจีน เพราะนอกจากสถานการณ์โรคระบาดที่ไม่สู้ดีแล้ว ยังมีเรื่องของความขัดแย้งระหว่างประเทศจีนและสหรัฐอเมริกา เกี่ยวกับการเก็บภาษีศุลกากรที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย

.

ทั้งนี้แล้วการที่เวียดนามกำลังมาแรง และเป็นที่น่าจับตามองในหมู่นักลงทุน ก็เพราะความสำคัญในการส่งเสริมเศรษฐกิจ ที่เวียดนามได้ทำข้อตกลงการค้าเสรีกับสหภาพยุโรปไว้ เมื่อช่วงเดือนที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นการเพิ่มโอกาส ให้ผู้ที่สนใจมาร่วมลงทุนในประเทศโดยตรงมากยิ่งขึ้น และหากเมื่อข้อจำกัดด้านมาตรการการเดินทางข้ามพรมแดนนั้นผ่อนคลายลงแล้ว ในส่วนของรัฐบาลก็ยังมีการสนับสนุนนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างเต็มที่ด้วยเช่นกัน จึงเกิดข้อสันนิษฐานได้ว่า ประเทศเวียดนามจะมีแนวโน้มภาพรวมที่เติบโตสูงยิ่งขึ้น ในปี 2564 ข้างหน้า